คำอธิบายการซื้อขายแบบ Swing Trading ในตลาด Forex : การจับแนวโน้มระยะกลาง เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีความอดทนหรือไม่?
ในสไตล์การเทรดที่เราได้พูดคุยก่อนหน้านี้ (Scalping , Day Trading , Swing Trading , Position Trading) “Swing Trading” อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางมันไม่เหมือน Day Trading ที่ต้องเฝ้าตลาดตลอดเวลา และไม่เหมือน Position Trading ที่ต้องถือสถานะนานเป็นเดือนหรือเป็นปี
เป้าหมายของ Swing Trading คือการจับ “การแกว่ง” หรือ “ช่วงคลื่น” ของราคาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์
สำหรับนักเทรดที่ไม่สามารถติดตามตลาดได้ตลอดวัน แต่มีความอดทนรอจังหวะการเทรดพัฒนา Swing Trading อาจเป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณา
แล้ว Swing Trading ทำงานอย่างไร? มีข้อดีและความท้าทายอะไรบ้าง? เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่?
บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดให้คุณเข้าใจ
1. Swing Trading คืออะไร?
Swing Trading คือสไตล์การเทรดที่มุ่งหวังทำกำไรจากความผันผวนของราคาตลาดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์แนวคิดหลักคือการระบุการเคลื่อนไหวของราคาระยะกลางที่อาจเกิดขึ้น (ไม่ว่าจะเป็นช่วงขาขึ้นหรือขาลง) เข้าเทรดเมื่อช่วงคลื่นเริ่มต้น และออกเมื่อคาดว่าช่วงคลื่นจะสิ้นสุด
ความแตกต่างจากสไตล์อื่น :
มันไม่เหมือน การซื้อขายแบบ หรือ Day Trading ที่เน้นกำไรเล็กๆ ในระยะสั้นมาก และถือสถานะไม่นาน
และไม่เหมือน Position Trading (การเทรดระยะยาว) ที่เน้นแนวโน้มใหญ่ข้ามเดือนหรือปี เป้าหมายคือจับ “ช่วงเทรนด์” ในระยะกลาง

2. วิธีปฏิบัติทั่วไปของนักเทรด Swing
นักเทรด Swing มักจะให้ความสนใจในหลายด้านดังนี้ :- กรอบเวลาหลักในการวิเคราะห์ (Timeframes) : พวกเขามักจะวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลาที่นานขึ้น เช่น กราฟรายวัน (D1) , กราฟ 4 ชั่วโมง (H4) และบางครั้งอาจดู กราฟรายสัปดาห์ (W1) เพื่อประเมินแนวโน้มหลักของตลาดและหาโอกาส Swing Trading กรอบเวลาที่สั้นกว่า เช่น กราฟ 1 ชั่วโมง (H1) บางครั้งใช้เพื่อหาจุดเข้าและออกที่แม่นยำขึ้น
- วิธีการวิเคราะห์หลัก (Analysis Methods) :
- เน้นวิเคราะห์ทางเทคนิค : Swing Trading พึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก นักเทรดจะใช้เส้นแนวโน้ม , จุดแนวรับและแนวต้านสำคัญ , รูปแบบกราฟที่บ่งชี้การเริ่มต้นหรือสิ้นสุดของช่วงคลื่น (เช่น รูปแบบกลับตัว , รูปแบบเบรกเอาท์หลังการพักตัว) , เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ , และตัวชี้วัดโมเมนตัมอย่าง RSI , MACD เพื่อระบุสัญญาณเทรด
- พื้นฐานประกอบ : แม้ว่าการตัดสินใจเข้าออกส่วนใหญ่จะอิงสัญญาณทางเทคนิค แต่ Swing Trader มักจะติดตามปฏิทินข่าวเศรษฐกิจและข่าวสำคัญที่อาจส่งผลต่อความรู้สึกตลาด เพื่อเข้าใจภาพรวมพื้นฐานและปัจจัยขับเคลื่อนหรือทิศทางอคติหลัก
- การบริหารจัดการสถานะ : Swing Trading หมายถึงการถือสถานะข้ามคืน หรือข้ามสุดสัปดาห์ ดังนั้นนักเทรดต้อง :
- ตั้ง Stop-Loss ในตำแหน่งที่กว้างกว่าการเทรดแบบ Day Trading เพื่อรองรับความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้นในหลายวัน
- ตั้ง Take-Profit ตามเป้าหมายของช่วงคลื่นหรือระดับเทคนิคสำคัญ
- คำนึงถึง Swap Fee (ค่าธรรมเนียมข้ามคืน) เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการเทรด
3. ข้อดีของ Swing Trading
- การจัดสรรเวลาที่ยืดหยุ่นกว่า : เมื่อเทียบกับ Day Trading หรือ การซื้อขายแบบ ที่ต้องเฝ้าตลาดตลอดเวลา Swing Trading ไม่ต้องใช้เวลาติดตามตลาดแบบเรียลไทม์มากนัก นักเทรดสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจในช่วงเวลาที่กำหนดของวัน (เช่น หลังปิดตลาด) ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีงานประจำหรือภารกิจอื่นๆ
- จับความผันผวนของราคาที่ใหญ่กว่า : เป้าหมายของ Swing Trading คือการจับช่วงราคาที่ดำเนินต่อเนื่องหลายวัน ดังนั้นกำไรต่อการเทรดหนึ่งครั้งมักจะมากกว่า Day Trading
- ความถี่การเทรดต่ำกว่า ต้นทุนอาจถูกกว่า : เนื่องจากจำนวนการเทรดน้อยกว่า ค่า Spread และค่าคอมมิชชั่น (ถ้ามี) รวมอาจต่ำกว่าการเทรดความถี่สูง นอกจากนี้ความถี่ต่ำยังช่วยลดความเครียดและความเหนื่อยล้าทางจิตใจจากการตัดสินใจบ่อยๆ
4. ความท้าทายและความเสี่ยงของ Swing Trading
- ความเสี่ยงข้ามคืนและสุดสัปดาห์ : นี่คือความเสี่ยงหลักของ Swing Trading การถือสถานะข้ามคืนอาจเจอ “Gap” ราคาที่ไม่เอื้ออำนวย (ช่องว่างระหว่างราคาปิดวันก่อนกับราคาเปิดวันถัดไป) โดยเฉพาะหลังสุดสัปดาห์หรือเหตุการณ์ข่าวสำคัญ และยังต้องรับภาระค่าธรรมเนียม Swap
- ต้องมีความอดทนและวินัยสูง : การเทรดอาจต้องรอหลายวันหรือหลายสัปดาห์กว่าจะถึงเป้าหมายหรือโดน Stop-Loss นักเทรดต้องมีความอดทนถือสถานะ ทนต่อแรงกดดันจากการปรับฐานเล็กน้อยหรือการพักตัว และปฏิบัติตามแผนเทรดอย่างเคร่งครัด
- อาจพลาดโอกาสเทรดระยะสั้น : เนื่องจากเน้นจับช่วงคลื่นระยะกลาง นักเทรด Swing อาจไม่สนใจโอกาสเทรดระยะสั้นในวันเดียวกัน
- Stop-Loss มักตั้งกว้าง : เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสัญญาณตลาดแกว่งในวันปกติทำให้หลุดออกจากตลาด Stop-Loss ของ Swing Trading มักตั้งไว้ไกลกว่าปกติ ซึ่งหมายความว่าถ้าโดน Stop-Loss การขาดทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้งอาจสูง (ดังนั้นต้องปรับ ล็อตการซื้อขาย ให้เหมาะสมเพื่อควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่รับได้)
5. Swing Trading เหมาะกับมือใหม่หรือไม่?
ความเหมาะสมที่เป็นไปได้ : สำหรับมือใหม่บางคน Swing Trading อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะ :- ความต้องการเวลาน้อยกว่า
- การวิเคราะห์บนกรอบเวลานานขึ้น (เช่น กราฟรายวัน) ทำให้แนวโน้มและรูปแบบชัดเจนกว่า และไม่ถูกรบกวนจากเสียงรบกวนของตลาดระยะสั้นมากนัก
ข้อกำหนดสำหรับมือใหม่ :
- ต้องมีความอดทนและวินัยสูง สามารถยึดมั่นในแผนเทรดที่กินเวลาหลายวัน
- ต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงข้ามคืน
- ต้องมีทักษะพื้นฐานในการวิเคราะห์ทางเทคนิคบนกรอบเวลานาน
- ต้องเรียนรู้วิธีคำนวณและบริหารขนาดสถานะ (ล็อต) ตาม Stop-Loss ที่กว้างขึ้นเพื่อควบคุมความเสี่ยง
คำแนะนำ : หากคุณเป็นมือใหม่ที่มีความอดทน , มีวินัย , ไม่ต้องการความพึงพอใจทันที และพร้อมที่จะเรียนรู้การบริหารความเสี่ยงและการวิเคราะห์กราฟรายวัน Swing Trading อาจเหมาะกับคุณ
แต่ควรฝึกฝนและทดลองใน บัญชีทดลอง อย่างเพียงพอ เพื่อสัมผัสจังหวะและความต้องการทางจิตใจ และประเมินว่าคุณเหมาะกับสไตล์นี้จริงหรือไม่
โดยรวมแล้ว Swing Trading มักถูกมองว่าง่ายกว่าการซื้อขายแบบ การซื้อขายแบบ ในการเริ่มต้น
สรุป
Swing Trading คือสไตล์การเทรดที่พยายามจับความผันผวนของราคาตลาด Forex ในระยะกลาง (หลายวันถึงหลายสัปดาห์)โดยเน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคบนกรอบเวลานาน เช่น กราฟรายวัน และกราฟ 4 ชั่วโมง พร้อมกับพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบ
ข้อดีของสไตล์นี้คือการจัดสรรเวลาที่ยืดหยุ่น และมีโอกาสจับกำไรจากช่วงราคาที่ใหญ่กว่า แต่ความท้าทายคือความเสี่ยงข้ามคืน ต้องมีความอดทนและวินัยสูง และต้องตั้ง Stop-Loss ที่กว้างและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม
สำหรับมือใหม่ ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพ เงื่อนไขเวลาของแต่ละคน และความใส่ใจในการบริหารความเสี่ยง
Swing Trading จึงเป็นตัวเลือกที่อยู่ระหว่างการเทรดระยะสั้นสุดขีดและระยะยาวมาก
หากคุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ต่อคุณ ยินดีให้แชร์ให้เพื่อนๆ
ให้คนอื่นๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเทรดฟอเร็กซ์ด้วยกัน!
ให้คนอื่นๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเทรดฟอเร็กซ์ด้วยกัน!