การสอนแนวรับแนวต้านในตลาดฟอเร็กซ์: พื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ผู้เริ่มต้นต้องรู้

มือใหม่ต้องเรียนรู้ Forex แนวรับแนวต้าน! เข้าใจพื้นและเพดานของราคา เรียนรู้การระบุจุดสูงต่ำจากกราฟ นำไปใช้วางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เว็บไซต์นี้ใช้บริการแปลภาษาด้วย AI หากคุณมีคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะ โปรดติดต่อเรา เรารอคอยคำแนะนำอันมีค่าของคุณ! [email protected]
เว็บไซต์นี้ใช้บริการแปลภาษาด้วย AI หากคุณมีคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะ โปรดติดต่อเรา เรารอคอยคำแนะนำอันมีค่าของคุณ! [email protected]

รากฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับฟอเร็กซ์: ทำความเข้าใจแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) 

เมื่อคุณดูกราฟราคาฟอเร็กซ์ คุณเคยรู้สึกบ่อยครั้งหรือไม่ว่าราคาดูเหมือนจะ "ติด" อยู่ที่ระดับราคาใดราคาหนึ่งโดยเฉพาะ?
บางครั้ง เมื่อราคาลดลงถึงจุดหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่าจะชนกับพื้น หยุดการลดลงและดีดตัวขึ้นไป ในขณะที่บางครั้ง เมื่อราคาสูงขึ้นถึงจุดหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่าจะชนกับเพดาน ยากที่จะทะลุผ่านและกลับตัวลงมา
บริเวณราคาสำคัญเหล่านี้ที่ทำให้ราคา "หยุด" หรือ "กลับตัว" ก็คือ "แนวรับ" และ "แนวต้าน" ที่มีชื่อเสียงในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

การทำความเข้าใจว่าแนวรับและแนวต้านคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะหามันบนกราฟได้อย่างไร ถือเป็นรากฐานของการเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค
มันให้ข้อมูลสำคัญแก่นักเทรดเกี่ยวกับจุดกลับตัวที่เป็นไปได้และสมรภูมิสำคัญของตลาด
บทความนี้จะอธิบายแนวคิดหลักสองอย่างนี้ให้คุณเข้าใจด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด

1 แนวรับ (Support) คืออะไร? "พื้น" ของการลดลงของราคา 

คำจำกัดความ: แนวรับคือระดับราคาหรือโซนบนกราฟที่อยู่ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
ในอดีต เมื่อราคาลดลงมาถึงบริเวณนี้ ความสนใจและกำลังของฝั่งซื้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเพียงพอที่จะต้านทานหรือแม้กระทั่งเอาชนะกำลังของฝั่งขายได้ จึงเป็นการป้องกันไม่ให้ราคาลดลงต่อไป และอาจทำให้ราคาดีดตัวกลับขึ้นไป

จินตนาการง่ายๆ: คุณสามารถจินตนาการว่าแนวรับเป็น "พื้น" หรือ "ตาข่ายนิรภัย" เมื่อราคาลดลง เมื่อราคาตกลงมาถึงตรงนี้ ก็มักจะถูก "รับ" ไว้ได้ง่าย

เกิดขึ้นได้อย่างไร? เหตุผลที่เป็นไปได้ ได้แก่: นักเทรดที่คิดว่าราคาที่ลดลงมาถึงจุดนี้ถูกมากแล้วและคุ้มค่าที่จะซื้อจึงเริ่มเข้ามาในตลาด; นักเทรดฝั่งซื้อ (Bulls) ที่เคยซื้อที่ระดับราคานี้ก่อนหน้านี้อาจจะซื้ออีกครั้งเพื่อ "ปกป้อง" จุดยืนของตน; นักเทรดฝั่งขาย (Bears) อาจเลือกที่จะทำกำไรและปิดสถานะที่จุดนี้ เป็นต้น

2 แนวต้าน (Resistance) คืออะไร? "เพดาน" ของการเพิ่มขึ้นของราคา 

คำจำกัดความ: แนวต้านคือระดับราคาหรือโซนบนกราฟที่อยู่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
ในอดีต เมื่อราคาเพิ่มขึ้นมาถึงบริเวณนี้ ความสนใจและกำลังของฝั่งขายมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเพียงพอที่จะต้านทานหรือแม้กระทั่งเอาชนะกำลังของฝั่งซื้อได้ จึงเป็นการป้องกันไม่ให้ราคาเพิ่มขึ้นต่อไป และอาจทำให้ราคาลดลงมา

จินตนาการง่ายๆ: คุณสามารถจินตนาการว่าแนวต้านเป็น "เพดาน" หรือ "กำแพงแรงกดดัน" เมื่อราคาเพิ่มขึ้น เมื่อราคาขึ้นมาถึงตรงนี้ ก็มักจะถูก "ต้าน" ไว้ได้ง่าย

เกิดขึ้นได้อย่างไร? เหตุผลที่เป็นไปได้ ได้แก่: นักเทรดที่คิดว่าราคาที่เพิ่มขึ้นมาถึงจุดนี้แพงเกินไปแล้วและคุ้มค่าที่จะขายจึงเริ่มเข้ามาในตลาด; ผู้ซื้อที่เคยติดดอยที่ระดับราคานี้ก่อนหน้านี้อาจเลือกที่จะขายเพื่อออกจากสถานะ; นักเทรดฝั่งซื้อ (Bulls) อาจเลือกที่จะทำกำไรและปิดสถานะที่จุดนี้ เป็นต้น

3 วิธีการระบุแนวรับและแนวต้าน? ค้นหา "ร่องรอย" ในอดีต 

การระบุแนวรับและแนวต้าน ส่วนใหญ่ทำได้โดยการสังเกตการณ์กราฟราคาในอดีต เพื่อค้นหาจุดที่ราคาเคยมีการตอบสนองอย่างชัดเจน
วิธีการที่ใช้กันทั่วไปมีดังนี้: 

  • สังเกตจุดสูงสุดและต่ำสุดของคลื่นราคาก่อนหน้า (Swing High and Low): 
    จุดสูงสุดสำคัญในอดีต (ยอดคลื่น) ที่ราคาเคยกลับตัวลงมา มักจะกลายเป็นแนวต้านในอนาคต
    จุดต่ำสุดสำคัญในอดีต (ท้องคลื่น) ที่ราคาเคยกลับตัวขึ้นไป มักจะกลายเป็นแนวรับในอนาคต
    ยิ่งจุดสูงสุด/ต่ำสุดของคลื่นถูกทดสอบบ่อยครั้ง หรือทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่ตามมาใหญ่เท่าไหร่ ความสำคัญในฐานะแนวรับ/แนวต้านก็มักจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
  • ค้นหาระดับราคาที่ราคาเคยสัมผัสและกลับตัวหลายครั้ง: หากในอดีตราคาเคยไปถึงระดับราคาใดราคาหนึ่งหลายครั้งแล้วหยุดและกลับตัว บริเวณราคานั้นก็จะกลายเป็นโซนแนวรับหรือแนวต้านที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ ยิ่งถูกทดสอบบ่อยครั้งและไม่สามารถทะลุผ่านได้ ระดับนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
  • ให้ความสนใจกับระดับราคาที่เป็นเลขจำนวนเต็มหรือระดับราคาทางจิตวิทยา: ตัวเลขจำนวนเต็มใหญ่ๆ เช่น 1.1000, 1.2000, 130.00 หรือระดับราคาที่ลงท้ายด้วย 50 (เช่น 1.1050) มักจะกลายเป็นแนวรับหรือแนวต้านทางจิตวิทยา เนื่องจากนักเทรดจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะตั้งคำสั่งซื้อขายใกล้กับระดับราคาที่เป็นเลขจำนวนเต็มเหล่านี้
  • เครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ ก็สามารถให้แนวรับแนวต้านได้เช่นกัน: เส้นแนวโน้ม (Trendlines), เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) (ซึ่งให้แนวรับแนวต้านแบบไดนามิก) และระดับฟีโบนัชชีรีเทรซเมนต์ (Fibonacci Retracement) ที่เราเคยพูดถึงกันไปแล้ว ก็สามารถถือเป็นแนวรับหรือแนวต้านที่เป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆ ได้เช่นกัน

แนวคิดสำคัญ: มองแนวรับแนวต้านเป็น "โซน" ไม่ใช่ "เส้นที่แม่นยำ" 
แม้ว่าเรามักจะวาดเส้นเพื่อแสดงแนวรับแนวต้าน แต่ในการเทรดจริง การทำความเข้าใจว่ามันเป็นช่วงราคาหรือโซน (Zone) มักจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
เพราะตลาดน้อยครั้งที่จะกลับตัวที่ระดับราคาที่แม่นยำเป๊ะๆ ราคาอาจจะทะลุไปเล็กน้อยแล้วกลับมา หรืออาจจะตอบสนองก่อนที่จะถึงระดับนั้นเสียอีก

4 แนวคิดสำคัญ: การสลับบทบาทของแนวรับและแนวต้าน 

นี่เป็นหลักการที่สำคัญมากๆ: 

  • เมื่อแนวต้านที่แข็งแกร่งถูกราคาทะลุขึ้นไปอย่างเด็ดขาด "เพดาน" เดิมนี้ก็มักจะเปลี่ยนเป็น "พื้นใหม่" เมื่อราคาย่อตัวกลับลงมาในอนาคต นั่นคือ กลายเป็นแนวรับ 
  • เมื่อแนวรับที่แข็งแกร่งถูกราคาทะลุลงมาอย่างเด็ดขาด "พื้น" เดิมนี้ก็มักจะเปลี่ยนเป็น "เพดานใหม่" เมื่อราคาดีดตัวกลับขึ้นไปในอนาคต นั่นคือ กลายเป็นแนวต้าน 

หลักการ "การสลับบทบาท" นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจพฤติกรรมของราคาหลังจากการทะลุ (breakout) และการหาโอกาสในการเทรดที่เป็นไปได้ (เช่น การเข้าเทรดเมื่อราคาย่อกลับมาทดสอบระดับที่เพิ่งทะลุไป)

5 นักเทรดใช้แนวรับและแนวต้านอย่างไร? 

แนวรับและแนวต้านเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการวางแผนการเทรด การประยุกต์ใช้ที่พบบ่อย ได้แก่: 

  • การหาโอกาสในการเข้าเทรดที่เป็นไปได้: 
    • การเทรดแบบดีดตัว/ถูกต้าน (Bounce/Rejection Trading): เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับที่แข็งแกร่งและแสดงสัญญาณของการปฏิเสธที่จะลงต่อและอาจดีดตัวขึ้น (เช่น เกิดรูปแบบแท่งเทียนกระทิง) ให้พิจารณาซื้อ เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้านที่แข็งแกร่งและแสดงสัญญาณของการปฏิเสธที่จะขึ้นต่อและอาจย่อตัวลง (เช่น เกิดรูปแบบแท่งเทียนหมี) ให้พิจารณาขาย (ต้องใช้การยืนยันจากพฤติกรรมราคาประกอบ)
    • การเทรดแบบทะลุ (Breakout Trading): หลังจากที่ราคาทะลุแนวต้านที่สำคัญขึ้นไป ให้คาดว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปและทำการซื้อ หลังจากที่ราคาทะลุแนวรับที่สำคัญลงไป ให้คาดว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปและทำการขาย (ต้องบริหารความเสี่ยงจากการทะลุหลอก)
    • การเทรডแบบย่อตัวกลับมาทดสอบ (Retest Trading): หลังจากที่ราคาทะลุระดับใดระดับหนึ่ง (เช่น ทะลุแนวต้าน) ให้รอราคาย่อตัวกลับมาทดสอบระดับที่เพิ่งทะลุไป (ซึ่งตอนนี้อาจกลายเป็นแนวรับ) หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อีกครั้ง ให้เข้าซื้อตามทิศทางของการทะลุ
  • การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss): แนวรับและแนวต้านให้เหตุผลที่เป็นตรรกะในการตั้งจุดตัดขาดทุน ตัวอย่างเช่น เมื่อทำการซื้อ อาจตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ต่ำกว่าแนวรับที่เกี่ยวข้องเล็กน้อย; เมื่อทำการขาย อาจตั้งจุดตัดขาดทุนไว้สูงกว่าแนวต้านที่เกี่ยวข้องเล็กน้อย
  • การตั้งเป้าหมายทำกำไร (Take-Profit): นักเทรดอาจใช้แนวรับสำคัญถัดไป (สำหรับสถานะขาย) หรือแนวต้านสำคัญถัดไป (สำหรับสถานะซื้อ) เป็นเป้าหมายในการทำกำไร

6 แนวรับและแนวต้านเหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่? 

ใช่, แน่นอน! การทำความเข้าใจและระบุแนวรับและแนวต้านพื้นฐานเป็นทักษะพื้นฐานที่นักเทรดฟอเร็กซ์มือใหม่ทุกคนต้องเชี่ยวชาญในการเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค และอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในแนวคิดที่ควรเรียนรู้เป็นอันดับแรกๆ

ประเด็นการเรียนรู้สำหรับมือใหม่: 
  • เริ่มต้นจากระดับที่ชัดเจน: ฝึกฝนการระบุแนวรับและแนวต้านแนวนอนที่เกิดจากจุดสูงสุดและต่ำสุดของคลื่นราคาที่สำคัญและชัดเจนในอดีตก่อน
  • ให้ความสนใจกับไทม์เฟรมที่ยาวขึ้น: ค้นหาและวาดระดับ S/R บนกราฟรายวัน (D1) หรือกราฟ 4 ชั่วโมง (H4) เนื่องจากระดับราคาในไทม์เฟรมที่ยาวขึ้นมักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าและไม่ถูกรบกวนจากสัญญาณรบกวนระยะสั้นได้ง่าย
  • ฝึกวาดเส้น: บนกราฟของบัญชีทดลอง (demo account) ลองลงมือวาดเส้นแนวนอนที่คุณระบุ และสังเกตว่าในอนาคตราคาตอบสนองต่อเส้นเหล่านี้อย่างไร
  • ทำความเข้าใจการสลับบทบาท: จำหลักการที่ว่าแนวรับเปลี่ยนเป็นแนวต้านและแนวต้านเปลี่ยนเป็นแนวรับให้ขึ้นใจ
  • มองเป็นโซนอ้างอิง: ในช่วงแรก อย่ามองระดับ S/R เป็นจุดซื้อขายที่ตายตัว ให้มองว่าเป็น "โซน" ที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ เมื่อราคาเข้าใกล้โซนเหล่านี้ ให้มองหาสัญญาณยืนยันอื่นๆ (เช่น รูปแบบแท่งเทียนที่เฉพาะเจาะจง, การสอดคล้องกันกับอินดิเคเตอร์อื่นๆ) เพื่อช่วยในการตัดสินใจ

สรุป 

แนวรับ ( "พื้น" ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อราคาลดลง) และแนวต้าน ( "เพดาน" ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อราคาสูงขึ้น) เป็นแนวคิดที่พื้นฐานและสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
มันแสดงถึงโซนราคาในอดีตที่กำลังซื้อและกำลังขายมาถึงจุดสมดุลหรือเกิดการกลับตัว ซึ่งส่วนใหญ่ระบุได้โดยการสังเกตจุดสูงสุดและต่ำสุดของคลื่นราคาในอดีต

การทำความเข้าใจแนวรับและแนวต้าน และ "การสลับบทบาท" ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากถูกทะลุ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินโครงสร้างตลาด, การหาโอกาสในการเทรด, การตั้งจุดควบคุมความเสี่ยง (stop-loss) และเป้าหมายทำกำไร
สำหรับมือใหม่ การเรียนรู้ที่จะระบุและประยุกต์ใช้แนวรับและแนวต้านพื้นฐานเป็นรากฐานในการสร้างความสามารถในการวิเคราะห์ทางเทคนิค และเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในการวางแผนการเทรดใดๆ
จำไว้ว่า ให้มองหาสัญญาณยืนยันเสมอและใช้ร่วมกับการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด
หากคุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ต่อคุณ ยินดีให้แชร์ให้เพื่อนๆ
ให้คนอื่นๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเทรดฟอเร็กซ์ด้วยกัน!