การสำรวจสไตล์การเทรด Forex เบื้องต้น : ทำความเข้าใจประเภทการเทรดและพื้นฐานกลยุทธ์ต่างๆ
เมื่อคุณมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานของตลาด Forex เช่น คู่สกุลเงิน , จุด , ขนาดล็อต , มาร์จิ้น , เลเวอเรจ , สเปรด , ราคาเสนอซื้อเสนอขาย ฯลฯ แล้ว อาจจะเกิดคำถามต่อไปในใจว่า : "แล้วฉันควร 'เริ่มต้น' การเทรดยังไง? ทุกคนตัดสินใจซื้อหรือขายเมื่อไหร่กัน?"ในความเป็นจริง เทรดเดอร์ Forex จะพัฒนาสไตล์การเทรดและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันตามตารางเวลาของตัวเอง , ความสามารถในการรับความเสี่ยง , ลักษณะนิสัย และความเข้าใจตลาด
ไม่มีวิธีใดที่เหมาะกับทุกคน
บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อแนะนำประเภทการเทรดยอดนิยม (แบ่งตามระยะเวลาการถือครองตำแหน่ง) และสองวิธีวิเคราะห์หลักที่ใช้ในการสร้างกลยุทธ์การเทรด เพื่อช่วยให้คุณมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการตัดสินใจในตลาด Forex
1. สไตล์การเทรด : ประเภทแบ่งตามระยะเวลาการถือครองตำแหน่ง
วิธีที่พบบ่อยที่สุดในการแยกแยะสไตล์การเทรด คือดูว่าผู้เทรดถือครองตำแหน่ง (สถานะซื้อหรือขาย) นานแค่ไหน :- การซื้อขายแบบ (Scalping) :
- คำนิยาม : เป็นวิธีการเทรดระยะสั้นมาก ระยะเวลาถือครองตำแหน่งสั้นมาก โดยปกติแค่ไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที
- เป้าหมาย : ไม่เน้นการเคลื่อนไหวราคาขนาดใหญ่ แต่หวังทำการเทรดจำนวนมากในหนึ่งวัน โดยได้กำไรเล็กน้อยในแต่ละครั้ง (อาจแค่ไม่กี่จุดหรือน้อยกว่านั้น) สะสมกำไรทีละน้อย
- ลักษณะเด่น : ต้องมีสมาธิสูง , การตัดสินใจและการดำเนินการที่รวดเร็ว มีความไวต่อค่าใช้จ่ายในการเทรด (โดยเฉพาะ สเปรด) เทรดเดอร์มักต้องเฝ้าหน้าจอเป็นเวลานาน
- เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่ : โดยทั่วไปไม่แนะนำให้มือใหม่ลอง เพราะมีความกดดันสูง ต้องใช้ทักษะและจิตใจที่แข็งแกร่ง และค่าใช้จ่ายในการเทรดมีผลกระทบมาก
- การเทรดภายในวัน (Day Trading) :
- คำนิยาม : หมายถึงการเปิดและปิดตำแหน่งภายในวันเทรดเดียวกัน ไม่ถือครองตำแหน่งข้ามคืน
- เป้าหมาย : จับโอกาสการเคลื่อนไหวของราคาภายในวัน
- ลักษณะเด่น : ต้องใช้เวลามากในการวิเคราะห์ตลาดและติดตามตำแหน่งภายในวันเทรด สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงข้ามคืน (เช่น การเปิดช่องว่างราคา หรือค่าธรรมเนียมการถือครอง)
- เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่ : มีความกดดันน้อยกว่า การซื้อขายแบบ แต่ยังต้องใช้เวลาและความพยายามในการเรียนรู้การวิเคราะห์กราฟภายในวันและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
- การเทรดแบบสวิง (Swing Trading) :
- คำนิยาม : ระยะเวลาถือครองตำแหน่งโดยทั่วไปตั้งแต่ไม่กี่วันจนถึงไม่กี่สัปดาห์
- เป้าหมาย : จับโอกาสการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนในช่วงเวลาหนึ่ง หรือแนวโน้มที่เกิดขึ้น
- ลักษณะเด่น : เมื่อเทียบกับการเทรดภายในวัน ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา อาจตรวจสอบตลาดวันละไม่กี่ครั้ง ใช้วิเคราะห์กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์เป็นหลัก ต้องพิจารณาความเสี่ยงข้ามคืนและค่าธรรมเนียมการถือครอง
- เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่ : เหมาะสำหรับคนที่ไม่สามารถเฝ้าหน้าจอเต็มเวลา อาจเป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้มากกว่า แต่ต้องมีความอดทนและรับความผันผวนของกำไรขาดทุนได้
- การเทรดระยะยาว / การเทรดตำแหน่ง (Position Trading) :
- คำนิยาม : ระยะเวลาถือครองตำแหน่งยาวมาก อาจนานเป็นสัปดาห์ , เดือน หรือหลายปี
- เป้าหมาย : ทำกำไรจากแนวโน้มระยะยาวในระดับมหภาค
- ลักษณะเด่น : พึ่งพาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ , นโยบายสกุลเงิน , ความสัมพันธ์อุปสงค์อุปทานระยะยาวอย่างลึกซึ้ง เสียงรบกวนของตลาดระยะสั้นถูกมองข้าม ต้องมีความอดทนสูงและความเชื่อมั่นมั่นคง รวมถึงมีทุนที่สามารถรับมือกับ การลดลง ของราคาได้
- เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่ : ต้องมีพื้นฐานการวิเคราะห์มหภาคที่แข็งแกร่งและความอดทนสูง อาจไม่เหมาะกับมือใหม่ที่ต้องการผลตอบแทนและการเรียนรู้ที่รวดเร็ว
2. พื้นฐานกลยุทธ์ : สองแนวทางหลักของการวิเคราะห์
ไม่ว่าคุณจะเลือกสไตล์การเทรดแบบใด คุณก็ต้องมีวิธีหรือกลยุทธ์ช่วยตัดสินใจว่า "เมื่อไหร่ควรซื้อ?" , "เมื่อไหร่ควรขาย?" , "เมื่อไหร่ควรถอนตัว?"การสร้างกลยุทธ์เหล่านี้มักจะไม่พ้นจากสองวิธีวิเคราะห์ตลาดหลัก (ซึ่งเราจะอธิบายอย่างละเอียดในบทความต่อไป) :
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) :
- แนวคิดหลัก : เชื่อว่าข้อมูลทั้งหมดที่มีผลต่อตลาดถูกสะท้อนอยู่ในประวัติราคาและปริมาณการซื้อขาย สามารถทำนายแนวโน้มราคาผ่านการวิเคราะห์รูปแบบกราฟในอดีต
- เครื่องมือที่ใช้บ่อย : เส้นแนวโน้ม , แนวรับและแนวต้าน , รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) , เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) , ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) และตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ
- จุดสนใจ : ราคากำลัง "ทำอะไร?"
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) :
- แนวคิดหลัก : วิเคราะห์ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค , สถานการณ์การเมือง , เหตุการณ์ทางสังคมที่มีผลต่อมูลค่าของสกุลเงิน เพื่อประเมิน "มูลค่าที่แท้จริง" ของสกุลเงินและทำนายแนวโน้มระยะยาว
- ปัจจัยที่สนใจ : อัตราดอกเบี้ย , อัตราเงินเฟ้อ , ข้อมูลการจ้างงาน , การเติบโต GDP , ดุลการค้า , นโยบายรัฐบาล , ผลการเลือกตั้ง ฯลฯ
- จุดสนใจ : ราคาทำไมถึง "เปลี่ยนแปลง?"
ในความเป็นจริง เทรดเดอร์หลายคนมักผสมผสานการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานเข้าด้วยกัน เพื่อเสริมจุดแข็งและลดจุดอ่อน
3. คำแนะนำสำคัญสำหรับมือใหม่
เมื่อเผชิญกับสไตล์การเทรดและวิธีวิเคราะห์มากมาย มือใหม่ควรเริ่มต้นอย่างไร?- ไม่มี "ดีที่สุด" มีแต่ "เหมาะสม" : ไม่มีสไตล์หรือกลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน สิ่งสำคัญคือหาวิธีที่เหมาะกับสถานการณ์ส่วนตัวของคุณ (เวลาที่มี , ความชอบความเสี่ยง , ลักษณะนิสัย)
- เริ่มจากการรู้จักตัวเอง : ประเมินอย่างซื่อสัตย์ว่าคุณสามารถใช้เวลากับการดูตลาดและเรียนรู้ได้วันละกี่ชั่วโมง? คุณรับความเสี่ยงขาดทุนได้มากแค่ไหน? คุณชอบตัดสินใจเร็วหรือชอบคิดอย่างรอบคอบ?
- วางรากฐานการวิเคราะห์ให้มั่นคง : ไม่ว่าคุณจะชอบสไตล์ไหน การเรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็น มันคือรากฐานของแผนการเทรดทั้งหมดของคุณ
- บัญชีทดลอง เป็นสนามทดลอง : อย่ารีบตัดสินใจสไตล์ของตัวเอง ใน บัญชีทดลอง ลองสังเกตกราฟในช่วงเวลาต่างๆ (เช่น กราฟรายวัน vs. กราฟ 15 นาที) สัมผัสความรู้สึกทางจิตใจจากระยะเวลาถือครองที่ต่างกัน หาเรตจังหวะที่คุณรู้สึกสบายใจ
- เรียบง่ายไว้ก่อน : ในช่วงเริ่มต้น อย่าไล่ตามกลยุทธ์ที่ฟังดูซับซ้อนและเท่ แต่คุณไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เริ่มจากกฎที่ง่าย , ชัดเจน และคุณอธิบายได้ ผลลัพธ์มักจะดีกว่า
- การบริหารความเสี่ยงคือพื้นฐาน : ไม่ว่าจะใช้สไตล์หรือกลยุทธ์ใด ต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงก่อนเสมอ ตั้งจุดหยุดขาดทุน , วางแผนขนาดล็อตอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดได้ระยะยาว
บทสรุป
การเทรด Forex มีวิธีเข้าร่วมที่หลากหลายสไตล์การเทรดที่แตกต่างกัน (Scalping , Day Trading , Swing Trading , Position Trading) เหมาะกับเวลาที่ลงทุนและความชอบความเสี่ยงที่ต่างกัน การตัดสินใจเทรดมักตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน (หรือผสมผสานทั้งสอง)
สำหรับมือใหม่ สิ่งสำคัญไม่ใช่การหา "กลยุทธ์วิเศษ" ทันที แต่คือการทำความเข้าใจความเป็นไปได้ต่างๆ รู้จักตัวเอง และวางรากฐานการวิเคราะห์ให้มั่นคง
เริ่มจากวิธีง่ายๆ ทดลองในบัญชีทดลอง และที่สำคัญที่สุด คือให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเป็นอันดับแรก
ด้วยวิธีนี้ คุณจะสามารถค้นหาเส้นทางการเทรดที่ยั่งยืนและเหมาะสมกับตัวเองในตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายนี้ได้