การสำรวจรูปแบบการเทรดฟอเร็กซ์เบื้องต้น: ประเภทที่มือใหม่ต้องรู้, กลยุทธ์และพื้นฐานการวิเคราะห์

มือใหม่ต้องเรียนรู้! เข้าใจสไตล์การเทรด Forex (จาก Scalping ถึง Long-term) และสองวิธีวิเคราะห์หลัก ช่วยให้คุณค้นหากลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเอง ก้าวสู่ก้าวแรกของความสำเร็จ
  • เว็บไซต์นี้ใช้บริการแปลภาษาด้วย AI หากคุณมีคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะ โปรดติดต่อเรา เรารอคอยคำแนะนำอันมีค่าของคุณ! [email protected]
เว็บไซต์นี้ใช้บริการแปลภาษาด้วย AI หากคุณมีคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะ โปรดติดต่อเรา เรารอคอยคำแนะนำอันมีค่าของคุณ! [email protected]

การสำรวจสไตล์การเทรด Forex เบื้องต้น: ทำความเข้าใจประเภทการเทรดและพื้นฐานกลยุทธ์ต่างๆ 

เมื่อคุณมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานของตลาด Forex เช่น คู่สกุลเงิน , จุด , ขนาดล็อต , มาร์จิ้น , เลเวอเรจ , สเปรด , ราคาเสนอซื้อเสนอขาย ฯลฯ แล้ว อาจจะเกิดคำถามต่อไปในใจว่า: "แล้วฉันควร 'เริ่มต้น' การเทรดยังไง? ทุกคนตัดสินใจซื้อหรือขายเมื่อไหร่กัน?"

ในความเป็นจริง เทรดเดอร์ Forex จะพัฒนาสไตล์การเทรดและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันตามตารางเวลาของตัวเอง , ความสามารถในการรับความเสี่ยง , ลักษณะนิสัย และความเข้าใจตลาด
ไม่มีวิธีใดที่เหมาะกับทุกคน
บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อแนะนำประเภทการเทรดยอดนิยม (แบ่งตามระยะเวลาการถือครองตำแหน่ง) และสองวิธีวิเคราะห์หลักที่ใช้ในการสร้างกลยุทธ์การเทรด เพื่อช่วยให้คุณมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการตัดสินใจในตลาด Forex

1 สไตล์การเทรด: ประเภทแบ่งตามระยะเวลาการถือครองตำแหน่ง 

วิธีที่พบบ่อยที่สุดในการแยกแยะสไตล์การเทรด คือดูว่าผู้เทรดถือครองตำแหน่ง (สถานะซื้อหรือขาย) นานแค่ไหน: 

  • การซื้อขายแบบ (Scalping): 
    • คำนิยาม: เป็นวิธีการเทรดระยะสั้นมาก ระยะเวลาถือครองตำแหน่งสั้นมาก โดยปกติแค่ไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที
    • เป้าหมาย: ไม่เน้นการเคลื่อนไหวราคาขนาดใหญ่ แต่หวังทำการเทรดจำนวนมากในหนึ่งวัน โดยได้กำไรเล็กน้อยในแต่ละครั้ง (อาจแค่ไม่กี่จุดหรือน้อยกว่านั้น) สะสมกำไรทีละน้อย
    • ลักษณะเด่น: ต้องมีสมาธิสูง , การตัดสินใจและการดำเนินการที่รวดเร็ว มีความไวต่อค่าใช้จ่ายในการเทรด (โดยเฉพาะ สเปรด) เทรดเดอร์มักต้องเฝ้าหน้าจอเป็นเวลานาน
    • เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่: โดยทั่วไปไม่แนะนำให้มือใหม่ลอง เพราะมีความกดดันสูง ต้องใช้ทักษะและจิตใจที่แข็งแกร่ง และค่าใช้จ่ายในการเทรดมีผลกระทบมาก
  • การเทรดภายในวัน (Day Trading): 
    • คำนิยาม: หมายถึงการเปิดและปิดตำแหน่งภายในวันเทรดเดียวกัน ไม่ถือครองตำแหน่งข้ามคืน
    • เป้าหมาย: จับโอกาสการเคลื่อนไหวของราคาภายในวัน
    • ลักษณะเด่น: ต้องใช้เวลามากในการวิเคราะห์ตลาดและติดตามตำแหน่งภายในวันเทรด สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงข้ามคืน (เช่น การเปิดช่องว่างราคา หรือค่าธรรมเนียมการถือครอง)
    • เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่: มีความกดดันน้อยกว่า การซื้อขายแบบ แต่ยังต้องใช้เวลาและความพยายามในการเรียนรู้การวิเคราะห์กราฟภายในวันและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
  • การเทรดแบบสวิง (Swing Trading): 
    • คำนิยาม: ระยะเวลาถือครองตำแหน่งโดยทั่วไปตั้งแต่ไม่กี่วันจนถึงไม่กี่สัปดาห์
    • เป้าหมาย: จับโอกาสการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนในช่วงเวลาหนึ่ง หรือแนวโน้มที่เกิดขึ้น
    • ลักษณะเด่น: เมื่อเทียบกับการเทรดภายในวัน ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา อาจตรวจสอบตลาดวันละไม่กี่ครั้ง ใช้วิเคราะห์กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์เป็นหลัก ต้องพิจารณาความเสี่ยงข้ามคืนและค่าธรรมเนียมการถือครอง
    • เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่: เหมาะสำหรับคนที่ไม่สามารถเฝ้าหน้าจอเต็มเวลา อาจเป็นตัวเลือกที่เป็นไปได้มากกว่า แต่ต้องมีความอดทนและรับความผันผวนของกำไรขาดทุนได้
  • การเทรดระยะยาว / การเทรดตำแหน่ง (Position Trading): 
    • คำนิยาม: ระยะเวลาถือครองตำแหน่งยาวมาก อาจนานเป็นสัปดาห์ , เดือน หรือหลายปี
    • เป้าหมาย: ทำกำไรจากแนวโน้มระยะยาวในระดับมหภาค
    • ลักษณะเด่น: พึ่งพาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ , นโยบายสกุลเงิน , ความสัมพันธ์อุปสงค์อุปทานระยะยาวอย่างลึกซึ้ง เสียงรบกวนของตลาดระยะสั้นถูกมองข้าม ต้องมีความอดทนสูงและความเชื่อมั่นมั่นคง รวมถึงมีทุนที่สามารถรับมือกับ การลดลง ของราคาได้
    • เหมาะสำหรับมือใหม่หรือไม่: ต้องมีพื้นฐานการวิเคราะห์มหภาคที่แข็งแกร่งและความอดทนสูง อาจไม่เหมาะกับมือใหม่ที่ต้องการผลตอบแทนและการเรียนรู้ที่รวดเร็ว

2 พื้นฐานกลยุทธ์: สองแนวทางหลักของการวิเคราะห์ 

ไม่ว่าคุณจะเลือกสไตล์การเทรดแบบใด คุณก็ต้องมีวิธีหรือกลยุทธ์ช่วยตัดสินใจว่า "เมื่อไหร่ควรซื้อ?" , "เมื่อไหร่ควรขาย?" , "เมื่อไหร่ควรถอนตัว?"
การสร้างกลยุทธ์เหล่านี้มักจะไม่พ้นจากสองวิธีวิเคราะห์ตลาดหลัก (ซึ่งเราจะอธิบายอย่างละเอียดในบทความต่อไป): 

  • การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis): 
    • แนวคิดหลัก: เชื่อว่าข้อมูลทั้งหมดที่มีผลต่อตลาดถูกสะท้อนอยู่ในประวัติราคาและปริมาณการซื้อขาย สามารถทำนายแนวโน้มราคาผ่านการวิเคราะห์รูปแบบกราฟในอดีต
    • เครื่องมือที่ใช้บ่อย: เส้นแนวโน้ม , แนวรับและแนวต้าน , รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) , เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) , ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) และตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ
    • จุดสนใจ: ราคากำลัง "ทำอะไร?"
  • การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis): 
    • แนวคิดหลัก: วิเคราะห์ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค , สถานการณ์การเมือง , เหตุการณ์ทางสังคมที่มีผลต่อมูลค่าของสกุลเงิน เพื่อประเมิน "มูลค่าที่แท้จริง" ของสกุลเงินและทำนายแนวโน้มระยะยาว
    • ปัจจัยที่สนใจ: อัตราดอกเบี้ย , อัตราเงินเฟ้อ , ข้อมูลการจ้างงาน , การเติบโต GDP , ดุลการค้า , นโยบายรัฐบาล , ผลการเลือกตั้ง ฯลฯ
    • จุดสนใจ: ราคาทำไมถึง "เปลี่ยนแปลง?"

ในความเป็นจริง เทรดเดอร์หลายคนมักผสมผสานการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานเข้าด้วยกัน เพื่อเสริมจุดแข็งและลดจุดอ่อน

3 คำแนะนำสำคัญสำหรับมือใหม่ 

เมื่อเผชิญกับสไตล์การเทรดและวิธีวิเคราะห์มากมาย มือใหม่ควรเริ่มต้นอย่างไร?

  • ไม่มี "ดีที่สุด" มีแต่ "เหมาะสม": ไม่มีสไตล์หรือกลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน สิ่งสำคัญคือหาวิธีที่เหมาะกับสถานการณ์ส่วนตัวของคุณ (เวลาที่มี , ความชอบความเสี่ยง , ลักษณะนิสัย)
  • เริ่มจากการรู้จักตัวเอง: ประเมินอย่างซื่อสัตย์ว่าคุณสามารถใช้เวลากับการดูตลาดและเรียนรู้ได้วันละกี่ชั่วโมง? คุณรับความเสี่ยงขาดทุนได้มากแค่ไหน? คุณชอบตัดสินใจเร็วหรือชอบคิดอย่างรอบคอบ?
  • วางรากฐานการวิเคราะห์ให้มั่นคง: ไม่ว่าคุณจะชอบสไตล์ไหน การเรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็น มันคือรากฐานของแผนการเทรดทั้งหมดของคุณ
  • บัญชีทดลอง เป็นสนามทดลอง: อย่ารีบตัดสินใจสไตล์ของตัวเอง ใน บัญชีทดลอง ลองสังเกตกราฟในช่วงเวลาต่างๆ (เช่น กราฟรายวัน vs กราฟ 15 นาที) สัมผัสความรู้สึกทางจิตใจจากระยะเวลาถือครองที่ต่างกัน หาเรตจังหวะที่คุณรู้สึกสบายใจ
  • เรียบง่ายไว้ก่อน: ในช่วงเริ่มต้น อย่าไล่ตามกลยุทธ์ที่ฟังดูซับซ้อนและเท่ แต่คุณไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ เริ่มจากกฎที่ง่าย , ชัดเจน และคุณอธิบายได้ ผลลัพธ์มักจะดีกว่า
  • การบริหารความเสี่ยงคือพื้นฐาน: ไม่ว่าจะใช้สไตล์หรือกลยุทธ์ใด ต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงก่อนเสมอ ตั้งจุดหยุดขาดทุน , วางแผนขนาดล็อตอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดได้ระยะยาว

บทสรุป 

การเทรด Forex มีวิธีเข้าร่วมที่หลากหลาย
สไตล์การเทรดที่แตกต่างกัน (Scalping , Day Trading , Swing Trading , Position Trading) เหมาะกับเวลาที่ลงทุนและความชอบความเสี่ยงที่ต่างกัน การตัดสินใจเทรดมักตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน (หรือผสมผสานทั้งสอง)

สำหรับมือใหม่ สิ่งสำคัญไม่ใช่การหา "กลยุทธ์วิเศษ" ทันที แต่คือการทำความเข้าใจความเป็นไปได้ต่างๆ รู้จักตัวเอง และวางรากฐานการวิเคราะห์ให้มั่นคง
เริ่มจากวิธีง่ายๆ ทดลองในบัญชีทดลอง และที่สำคัญที่สุด คือให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเป็นอันดับแรก
ด้วยวิธีนี้ คุณจะสามารถค้นหาเส้นทางการเทรดที่ยั่งยืนและเหมาะสมกับตัวเองในตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายนี้ได้
หากคุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ต่อคุณ ยินดีให้แชร์ให้เพื่อนๆ
ให้คนอื่นๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเทรดฟอเร็กซ์ด้วยกัน!